ตามโปรแกรมของตลอดรุ่น 1 จะต้องทำกิจกรรมที่เดินทาง (Trip) รับรู้เรียนรู้ ทั้งทางธรรมชาติและวิถีชีวิต
รวมถึงการขลุกขลิกในสมองผ่านการพูดคุยกับกูรู หรือ มาสเตอร์ (Master) ทางด้านต่างๆ ที่สืบเนื่องเชื่อมโยง
เรื่องราวทั้งหลายบนโลกใบนี้ ใน 10 แง่มุม ไปจนถึงการรู้จักทักษะการสื่อสาร (Workshop) 4 ด้าน คือ วรรณกรรม ดนตรี ภาพถ่าย
และหนังสั้น
มาคราวนี้ (ซึ่งเป็นสาระหัวข้อท้ายๆ ของการไปรับรู้ เรียนรู้ กับมาสเตอร์กันแล้ว) เป็นเรื่องของ
ฟังดูชื่อเรื่อง อาจจะนึกถึง ททท. "แล้วไง" อาจจะเป็นคำถามตามมาในใจ
แต่พอสาวลงไปลึกๆๆๆๆ ทั้งจากการฟัง การถาม การแลกเปลี่ยนกับพี่ติ๋ม กูรู ของเราในครั้งนี้
ก็ได้รู้ว่ามันมีที่มา มีที่ไป มีรสชาติ มีความคิด ความรู้สึก ที่ทั้งอึ้ง ทึ้ง เสียว...ว๊าย! อุ้ย! จริงดิ! ตลอดเวลา
พูดแล้วหลายคนคงอยากรู้ว่า (ต้องออกเสียงแบบโมโนโทน) มันจะน่าตื่นเต้นน่ารู้ขนาดนั้นจริงๆ หรอ
(อันนี้ใครที่อยากรู้ก็ต้องติดตามอ่านใน เอกสารเผยแพร่ กันอีกทีค่ะ จะนำบทบันทึกเทปแบบสวยงามมาวางแปะให้อ่านกันต่อไปค่ะ)
พี่ติ๋มเปิดประตูสู่โลก ไว้ว่า
"Tourism ใหญ่โตมโหฬารมากกว่าอิสซึ่ม (-ism) ใดๆ อิสซึ่มใดๆ นี้คือ ไม่ว่าจะเป็น Christianism, Budhism,
Marxism ผมคิดว่าไม่เคยมีร่มเงาของอิสซึ่มใดในโลกใหญ่โตเท่ากับอิสซึ่มของ Tourism มาก่อนในโลกนี้นะครับ
ไม่ว่าทุกวันนี้เราจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วยกับผลกระทบของมัน เราจะเป็นส่วนหนึ่งของมันหรือเปล่าในทางด้านบวกและด้านลบ
ก็ตาม ผมคิดว่าไม่มีใครจะเข้าใจโลกใบนี้ได้นะครับถ้าไม่เข้าใจ Tourism นั่นไม่นับถึงการไม่เข้าใจตัวเองหรือเข้าใจ
ตัวเองโดยผ่าน Tourism โดยทั้งทางตรงทางอ้อม โดยผ่านการที่มันซ่อนรูปในทุกๆ องคาพยพของชีวิตกับของสังคม
อันนี้ผมก็เลยคิดว่า ถ้าพูดอย่างนี้แล้วเนี่ย ไม่มีใครในโลกใบนี้จะพูดเรื่อง tourism ได้ทั้งหมดโดยภาพรวมภาพเดียวแล้วก็
ในแง่ของมหภาคและจุลภาคของมัน ผมไม่คิดว่าจะมีโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยใดสอน tourism ได้โดยที่จะต้องจบลง
ในตัวเอง หรือจบลงใน course ที่เราได้เรียนหรือว่าครูได้สอนออกไป เพราะว่ามันคือปรากฏการณ์ครับ คือ phenomenon
คือ ปรากฏการณ์ที่สามารถ shape โลกใบนี้ได้ แล้วก็ shape วิถีชีวิต วิธีคิดของมนุษย์ทั้งหมดในปัจจุบันด้วย ไม่ว่าจะเป็น
อินเดียนแดงอยู่ในอะเมซอนหรือว่าใครต่อใครที่เป็นชาวเขาเผ่าใดก็ตามที่จะอยู่ในที่หลีกเร้น แล้วก็อยู่ในที่ลับแลอะไรทั้งสิ้น
ไม่เคยพ้นไปจากร่มเงาของ tourism ได้ในโลกใบนี้ ณ ปัจจุบัน นะครับ"
พี่ติ๋มบอกเล่าเรื่องราวย้อนกลับไปที่จุดกำเนิดของมนุษยชาติที่เริ่มต้น ซึ่งต้องขอบอกว่า นั่นเป็นเหรียญอีกด้านหนึ่ง
ของ พี่ติ๋มบอกว่า "มันจะต้องมีทั้งคู่ ถ้าไม่มีการเดินทางก็ไม่มีการท่องเที่ยว แต่การเดินทางโดยไม่เป็น
การท่องเที่ยวนั้นมันทำได้ แต่ถ้าเป็นการท่องเที่ยวแล้วไม่เดินทางมันทำไม่ได้" หลังจากที่พูดคุยกันในห้องสี่เหลี่ยม
"เดินทาง" ผ่านคำพูดและภาพบนจอโปรเจคเตอร์ย้อนหลังกลับไป ผ่านยุคถ้ำ สู่ประวัติศาสตร์สมัยกลาง จนถึงปฏิวัติอุตสาหกรรม
เรื่อยลามมาถึงผลกระทบของการท่องเที่ยวในปัจจุบัน และจบลงที่ ไป! เราไปดูตัวอย่างของการเป็น Product of Tourism
ของวัดสุทัศน์เทพวรารามกัน
ว่าแล้ว พี่ติ๋มก็พาทัวร์ ขึ้นรถรางของ กทม. (ไม่เคยนั่งมาก่อนเลยค่ะ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของพี่ๆ และน้องๆ Hatch-U หลายคนทีเดียว)
สถานที่ที่เราทำการเสวนาครั้งนี้ คือ โรงแรมพระนครนอนเล่น (ต้องขอขอบคุณอย่างสูง) จุดหมายการทัวร์ของเราคือ
วัดสุทัศน์เทพวราราม ตรงเสาชิงช้า เพราะฉะนั้น เส้นทางที่เราจะต้องผ่าน จึงพบปะกับร่องรอยทางประวัติศาสตร์มากมาย
ของกรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นบางลำพู ป้อมพระสุเมรุ สนามหลวง วัดพระแก้ว กระทรวงกลาโหม คลองอีกมากมาย
และเสาชิงช้า จอดที่จุดเป้าหมาย 1 ใน 9 วัดของใครหลายๆ คน คือ วัดสุทัศน์ แล้วเรื่องราวของความเป็นศูนย์กลางจักรวาล
ของที่นี่ก็พรั่งพรู ไปจนถึงการจัดการของทางวัดเพื่อการมากราบไหว้บูชาของผู้ศรัทธาในระดับต่างๆ เดินจนทั่ว สนุกไปกับ
การฟังพี่ติ๋มเล่า และเดินทางกลับไปสรุป ของเรา ที่โรงแรมพระนครนอนเล่น เป็นการจบวัน
แต่การท่องเที่ยวยังคงไม่จบไปจากเราแน่นอน ต้องกราบขอบพระคุณพี่ติ๋มมากๆ มา ณ โอกาสนี้ พี่ติ๋มเป็นกูรูของแท้เลยค่ะ
ส่วนใครอยากจะรู้ว่าพี่ติ๋มเป็นใครมาจากไหน ต้องรออ่านใน เอกสารเผยแพร่อีกทีนะคะ
ในคราวต่อไป ก็จะเป็นธีม โดยที่ต้องฟังและคิดแบบ
หยุดไม่อยู่ ซึ่งเป็นหัวข้อสุดท้ายในโครงการนี้ และอีก Workshop ดนตรี กับ พี่เจี๊ยบ วรรธนา วีรยะวรรธนา อีกหนึ่งครั้ง
ก่อนที่น้องๆ จะเริ่มระดมความคิด สร้างสรรค์ และนำเสนอผ่านสื่อใดก็ได้ที่ชอบในคราวต่อไป |